
หลายคนคงรู้จักเซโรโทนินว่าเป็น “สารเคมีแห่งอารมณ์” เพราะเป็นสารเคมีในร่างกายที่มีส่วนสำคัญเกี่ยวกับการทำงานของระบบประสาทและสมอง ส่งผลต่อกระบวนการคิด พฤติกรรม และอารมณ์ ซึ่งถ้าเรามีสารเซโรโทนินในระดับที่เหมาะสม ก็จะช่วยปรับความรู้สึกและอารมณ์ไปในทางบวก ช่วยให้สุขภาพจิตดี อารมณ์ดี มีสมาธิ ช่วยให้คิดและตัดสินใจได้ดียิ่งขึ้น ในทางกลับกันถ้าหากเรามีสารเซโรโทนินอยู่ในระดับต่ำ อาจส่งผลให้อารมณ์อ่อนไหว เศร้าง่าย รู้สึกกังวล โมโหง่าย ไม่มีสมาธิ และอาจเพิ่มความเสี่ยงในการเกิดภาวะซึมเศร้า โรควิตกกังวล โรคเครียด โรคสมาธิสั้น โรค PTSD และโรคกลัว (Phobia) ได้ด้วย
เซโรโทนิน ไม่ได้ส่งผลแค่อารมณ์
นอกจากเซโรโทนิน จะส่งผลต่อการทำงานของระบบประสาทและสมองแล้ว ยังส่งผลต่อการทำงานของระบบอื่น ๆ ในร่างกายอีกด้วย เช่น
- ระบบการย่อยและขับถ่าย : เซโรโทนินมีส่วนช่วยในการทำงานของลำไส้ให้เป็นปกติ ลดความเสี่ยงในการท้องผูกหรือท้องเสียได้ หากเราได้รับอาหารที่ปนเปื้อนเชื้อโรค ร่างกายก็จะหลั่งสารเซโรโทนินออกมากระตุ้นให้รู้สึกคลื่นไส้และอาเจียน เพื่อขับสารอันตรายออกจากร่างกาย
- การนอนหลับ : เพราะเซโรโทนินเป็นสารตั้งต้นของเมลาโทนิน ซึ่งเป็นฮอร์โมนที่ช่วยควบคุมการนอนหลับ หากร่างกายมีระดับเมลาโทนินลดลงก็อาจนำมาสู่ปัญหาการนอนหลับได้
- กระดูกแข็งแรง : เซโรโทนินมีส่วนสำคัญในกระบวนการสร้างและสลายกระดูก ทำให้กระดูกแข็งแรง แต่หากมีระดับเซโรโทนินสูงอาจทำให้ความหนาแน่นของกระดูกลดลงและเสี่ยงต่อภาวะกระดูกพรุนได้
- การแข็งตัวของเลือด : เซโรโทนินมีส่วนช่วยให้เส้นเลือดแดงฝอยตีบลง ส่งผลให้เลือดแข็งตัวได้เร็วขึ้น ทำให้แผลสมานได้เร็วขึ้น
จากข้อมูลในบทความนี้จะเห็นว่า หากร่างกายขาดเซโรโทนินก็อาจส่งผลกระทบต่อระบบการทำงานต่าง ๆ ของร่างกายหลายส่วน ดังนั้นเราจึงควรจะทำให้ร่างกายมีระดับเซโรโทนินที่สมดุลอยู่เสมอด้วยการเลือกรับประทานอาหารที่มีประโยชน์ จำพวกอาหารที่มีกรดอะมิโนทริปโตเฟน เช่น ปลาแซลมอน ปลาทูน่า นม ไข่ ชีส สับปะรด เต้าหู้ แซลมอน ถั่วและธัญพืชต่าง ๆ นอกจากนี้ การออกกำลังกายสม่ำเสมอ การทำสมาธิ หรือการได้รับแสงแดดเป็นประจำ ก็เป็นตัวช่วยเพิ่มระดับซีโรโทนินในร่างกายได้เช่นกัน
ผู้เขียน
ธมนวรรณ พรพาณิชเจริญ
เภสัชกร