
ภูมิแพ้ (Allergy) คือ ความผิดปกติจากภาวะภูมิไวเกินของระบบภูมิคุ้มกัน อาการภูมิแพ้เกิดขึ้นเมื่อระบบภูมิคุ้มกันของมนุษย์ตอบสนองต่อสสารที่ไม่เป็นอันตรายต่อร่างกายซึ่งมีอยู่ทั่วไปในธรรมชาติ ซึ่งสารที่ก่อให้เกิดการตอบสนองนั้นเรียกว่า สารก่อภูมิแพ้ โดยอาการตอบสนองต่อสารเหล่านี้ไม่ใช่ความผิดปกติแต่กำเนิด สามารถคาดเดาได้ และไม่เรื้อรัง
ภูมิแพ้เป็นหนึ่งในความผิดปกติจากภาวะภูมิไวเกินและถูกเรียกในเชิงวิชาการว่า ประเภทที่หนึ่ง (Type I) หรือ ประเภทเฉียบพลัน (Immediate) อาการภูมิแพ้เหล่านี้เฉพาะเจาะจงเนื่องจากเกิดขึ้นโดยการกระตุ้นเซลล์เม็ดเลือดขาวที่มากเกินไป คือ แมสต์เซลล์ และเบโซฟิล โดยแอนติบอดีที่ชื่อว่า อิมมูโนโกลบูลินอี (IgE) การกระตุ้นนี้ส่งผลให้เกิดการอักเสบซึ่งมีระดับตั้งแต่ทำให้ระคายเคืองไปจนถึงการเสียชีวิต
วิธีรักษาโรคภูมิแพ้
วิธีรักษาโรคภูมิแพ้ได้ดีที่สุด มีอยู่ 3 วิธี คือ
- การหลีกเลี่ยงสารก่อภูมิแพ้
- ออกกำลังกาย
- ทำความสะอาดผิวหนังเป็นประจำ
หากทั้ง 3 วิธีนี้ไม่ได้ผล อาจใช้วิธีล้างช่องจมูกด้วยน้ำเกลือ ทำความสะอาดผิวหนังด้วยยา Betadine และน้ำเกลือ ร่วมกับรับประทานยาแก้แพ้ (Antihistamine) แต่ยาแก้แพ้ก็มีข้อเสียที่ควรรู้และใส่ใจ คือ ทำให้ง่วง เจริญอาหาร อาจมีอาการปัสสาวะลำบากในผู้ชาย ดื้อยา หรือต้องรับประทานยาทุกวัน
หากการปรับพฤติกรรมยังไม่ได้ผล ลำดับต่อไปเป็นการใช้ยาสเตียรอยด์เฉพาะที่พ่นในช่องจมูก หรือทาบริเวณผิวหนังที่เป็นแผล ซึ่งให้ผลดีกว่าการรับประทานยาแก้แพ้ แต่ก็มีข้อเสียคือต้องใช้ยาทุกวัน ห้ามใช้ยาในเด็กเล็กและหญิงตั้งครรภ์ และห้ามใช้ยาต่อเนื่องกันเกิน 12 สัปดาห์
นอกจากสองวิธีที่ได้กล่าวมาแล้ว ยังมีอีกวิธีหนึ่ง นั่นก็คือ การฉีดวัคซีนภูมิแพ้ เป็นการฉีดสารก่อภูมิแพ้เข้าสู่ร่างกาย เพื่อกระตุ้นภูมิต้านทานต่อสารก่อภูมิแพ้ ยับยั้งการสร้างและการทำงานของเซลล์เม็ดเลือดขาวที่ก่อให้เกิดการแพ้ อาจทำการทดสอบภูมิแพ้ทางผิวหนัง (Skin Prick Test) ก่อนเพื่อหาว่าแพ้สารก่อภูมิแพ้ตัวใด แต่บ่อยครั้งที่ผลการทดสอบให้ผลหลอก การทดสอบภูมิแพ้ทางผิวหนังจึงใช้ประกอบเพื่อช่วยการตัดสินใจ กรณีนี้อาจฉีดสารก่อภูมิแพ้ที่มีการแพ้บ่อยไปก่อนแล้วนัดติดตามดูอาการ
การฉีดวัคซีนภูมิแพ้ปัจจุบันนิยมฉีด High Dose เพราะให้ผลดีกว่าวิธี Low Dose ซึ่งเป็นวิธีเก่าและไม่ค่อยได้ผล ทั้งยังอาจก่อให้เกิดการแพ้สารตัวใหม่ (Neo Sensitization) โดยวิธีฉีด High Dose ใช้สารก่อภูมิแพ้ปริมาณสูง จึงควรอยู่ในการดูแลของแพทย์ผู้เชี่ยวชาญ
ในอดีตนิยมฉีดวัคซีนเข้าชั้นใต้ผิวหนังซึ่งค่อนข้างอันตรายและอาจเกิดอาการแพ้รุนแรงได้ ปัจจุบันนิยมฉีดเข้าชั้นผิวหนัง (Intradermal) ในกรณีที่ฉีดยาในปริมาณสูงอาจฉีดเข้าชั้นไขมันและกล้ามเนื้อ (Lipomuscular) ซึ่งปลอดภัยกว่าการฉีดเข้าชั้นผิวหนัง การวัคซีนภูมิแพ้มักให้ผลดี สามารถระงับอาการแพ้ของผู้ป่วยได้หลายเดือนถึงหลายปีกว่าจะกลับมาแพ้อีก ผู้ป่วยไม่ต้องรับประทานยาทุกวัน จึงนับเป็นอีกทางเลือกหนึ่งในการรักษาโรคภูมิแพ้
ภญ.เกวลิน ตั้งจิตบรรเจิด
ผู้เขียน