ถึงน้ำตาลจะช่วยให้ร่างกายสดชื่น ให้พลังงานในการทำกิจกรรมต่างๆ แต่หากทานมากไปจะมีผลเสียต่อสุขภาพหลายประการ เสียงกับเบาหวาน หรือ ผิวแก่ก่อนวัยได้ ทำให้เทรนด์ลดหวานเป็นที่พูดถึงกันมากขึ้นทุกปี แต่การเลิกติดหวานไม่ใช่เรื่องง่ายสำหรับคนส่วนใหญ่ จึงมีตัวช่วยอย่าง "น้ำตาลเทียม" เป็นทางเลือกแทนน้ำตาลทั่วไป ส่วนใหญ่ไม่มีพลังงาน แต่ก็เกิดกระแสขึ้นมาอีกว่า "กินมากก็ไม่ดี" ตกลงทานได้ไหม มาทำความรู้จักกับน้ำตาลเทียมให้ดีขึ้นกันดีกว่า
น้ำตาลปกติ
น้ำตาลทุกชนิดจากธรรมชาติ แบ่งเป็นสองประเภทใหญ่
- น้ำตาลโมเลกุลเดี่ยว ดูดซึมเร็ว ร่างกายนำไปใช้ประโยชน์ได้ทันที เช่น กลูโคส ฟรุกโทส กาแล็กโทส
- น้ำตาลโมเลกุลคู่ ใช้เวลาในการย่อยเล็กน้อยก่อนนำไปใช้ เช่น ซูโครส แลคโทส มอลโทส
โทษของน้ำตาลทั่วไป
การทานน้ำตาลมาเกินพอดี จะส่งผลเสียต่อร่างกายมากกว่าหลายคนเข้าใจ
- น้ำตาลดูดซึมเข้ากระแสเลือดได้อย่างรวดเร็ว แปลงเป็นพลังงาน ทำให้น้ำหนักเพิ่ม เป็นโรคอ้วนได้ง่าย
- ระดับน้ำตาลในเลือดสูงต่อเนื่อง อาจเป็นสาเหตุทำให้เกิดโรคเบาหวานประเภทที่ 2
- ทำให้ผิวเสีย เหี่ยวย่น แก่ก่อนวัยได้ง่าย เพราะน้ำตาลทำปฏิกิริยาเปลี่ยนโครงสร้างของคอลลาเจนทำให้ โปรตีนที่ทำให้ผิวกระชับ (อีลาสติก) น้อยลง
- ถ้ารักษาความสะอาดในช่องปากไม่ดีพอ ทำให้ฝันผุและโรคในช่องปากได้ง่าย
- ถึงทำให้ร่างกายสดชื่น แต่ถ้าน้ำตาลสูงเกินไป จะระบบสารสื่อประสาท กระตุ้นกรดอะมิโนทริปโตเฟน ทำให้เหนื่อย ซึมลง ได้ง่าย
สารให้ความหวานแทนน้ำตาล
สารให้ความหวานแทนน้ำตาล (Artificial sweeteners) เป็นทางเลือกสำหรับคนต้องการลดน้ำตาล เป็นสารเคมีที่ผลิตได้จากกรรมวิธีทางอุตสาหกรรม มีพลังงานน้อยหรือไม่มีพลังงานเลย มีประโยชน์ในการควบคุมระดับน้ำตาลในเลือด
1. สารให้ความหวานที่ให้พลังงานเล็กน้อย
สารให้ความหวาน จำพวกน้ำตาลแอลกอฮอล์ เช่น แมนนิทอล ไซลิทอล ซอร์บิทอล
2. สารให้ความหวานไม่ให้พลังงาน (น้ำตาลเทียม)
สารให้ความหวานที่เมื่อใช้ในปริมาณเท่ากับน้ำตาล จะไม่ให้พลังงานแคลอรี่ต่อร่างกาย เช่น น้ำตาลทั่วไปให้พลังงาน 4 กิโลแคลอรี่/กรัม สารให้ความหวานบางชนิด หวานกว่าน้ำตาล 200-300 เท่า เมื่อนำมาใช้ในสัดส่วนเท่ากับน้ำตาล จึงให้พลังงานน้อยจนเหมือนไม่ได้ทานอะไร
น้ำตาลเทียมที่ใช้ในอาหารแบ่งเป็นหลายชนิด นิยมใช้ในอาหาร เครื่องดื่ม ต่างกันไป เช่น
- สตีวีโอไซด์ (Stevia) หรือ หญ้าหวาน
- นีโอแทม (Neotame)
- ซูคราโลส (Sucralose) หรือ ขัณฑสกร
- อะซิซัลเฟมโพแทสเซียม (Acesulfame potassium)
- แอสปาแตม (Aspartame)
สรุป สารให้ความหวานเทียมอันตรายกว่าน้ำตาลหรือไม่
น้ำตาลเทียมปลอดภัยกว่าน้ำตาลทั่วไป จึงสามารถบริโภคได้ในระดับหนึ่ง แต่ไม่ควรทานมากเกินไป
รายงานวิจัยข้อมูลที่ว่า มีความเกี่ยวข้องกับโรคต่างๆ ยังไม่ชัดเจน เป็นเพียงการดึงบางรายงานที่ยังไม่ได้รับการยอมรับมาอ้างเท่านั้น
คำแนะนำในการรับประทานน้ำตาล
- ไม่ควรบริโภคน้ำตาลเกิน 6 ช้อนชา/วัน
- สตีวีโอไซด์ (สารสกัดจากหญ้าหวาน) เป็นสารให้ความหวานที่ปลอดภัยและได้รับการยอมรับมากสุด แต่มีราคาค่อนข้างสูง ควรบริโภคไม่เกิน 4 มิลลิกรัม/น้ำหนักตัว 1 กิโลกรัม/วัน และควรสังเกตบนผลิตภัณฑ์ว่าเป็น หญ้าหวาน 100% หรือไม่ เพราะบางผลิตภัณฑ์ใส่หญ้าหวานเพียงเล็กน้อยผสมกับน้ำตาลเทียมชนิดอื่น
- น้ำผึ้ง จะเป็นน้ำตาลที่พบในธรรมชาติ ถึงมีประโยชน์ แต่มีส่วนประกอบเหมือนน้ำตาลทรายในปริมาณที่สูง ประกอบด้วยน้ำตาลกลูโคสและฟรักโทส ทำให้ค่าไขมันไตรกลีซอไรด์สูงได้ การทานน้ำผึ้งจึงยังส่งผลเสียต่อร่างกายได้ จึงควรทานแต่น้อย
- สำหรับผู้ป่วยบางโรค เช่น ภาวะฟีนิลคีโตนยูเรีย สตรีมีครรภ์ ต้องระวังน้ำตาลเทียมบางประเภท ควรปรึกษาแพทย์หรือเภสัชกรก่อนใช้
อ่านอะไรต่อดี
น้ำตาลควรทานวันละกี่ช้อน ทานอย่างไรให้ห่างไกลมะเร็ง
5 ผลไม้น้ำตาลต่ำ คนเป็นเบาหวานทานได้ ช่วยลดน้ำหนัก
10 สัญญาณอันตรายที่บอกว่าคุณกำลังติดหวาน
หากใครมีข้อสงสัยเกี่ยวกับเรื่อง ผลิตภัณฑ์เสริมอาหาร ยา และปัญหาเรื่องสุขภาพ สามารถปรึกษาเภสัชกรที่ร้านขายยา Fascino ผ่านระบบเทเลฟาร์มมาซี เรายินดีให้คําปรึกษาทุกปัญหาสุขภาพทุกช่องทาง
- ปรึกษาง่าย ๆ ไม่ต้องโหลดแอป ได้ที่ https://telepharmacy.fascino.co.th/
- Facebook : https://m.me/fascinohealthcarethailand
- Line : https://lin.ee/3mHf2nZ
- โทร : 02-111-6999